อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2538 เป็นเหตุการณ์
อุทกภัยหรือน้ำท่วมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งที่เกิดใน
ประเทศไทย โดยเหตุการณ์อุทกภัยครั้งนี้เริ่มขึ้นในเดือน
สิงหาคม พ.ศ. 2538 เมื่อเกิด
พายุหลายลูกพัดกระหน่ำเข้าสู่
ประเทศไทย โดยเฉพาะพายุโอลิส เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่นาย
บรรหาร ศิลปอาชา เข้ารับตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี และจัดตั้ง
รัฐบาลได้ไม่ถึงเดือน ก็เกิด
ฝนตกหนักและน้ำท่วมในส่วนภูมิภาคของประเทศ ตั้งแต่ ภาคใต้, ภาคเหนือ, ภาคตะวันออก, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก จากนั้นน้ำเหนือได้ไหลลงสู่ภาคกลาง รวมถึงพื้นที่
กรุงเทพมหานครผลการสรุปความเสียหาย ปรากฏว่าน้ำท่วมทั้งสิ้น 68 จังหวัด 585 อำเภอ มีผู้ได้รับความเดือดร้อนประมาณ 4,500,000 คน จากทั้งหมด 1,163,871 ครอบครัว เสียชีวิต 260 คน มูลค่าความเสียหายไม่รวมสิ่งสาธารณูปโภคกว่า 6,598 ล้านบาท นับเป็นอุทกภัยที่มีความร้ายแรงมากที่สุดในประเทศไทยที่เกิดขึ้นในรอบ 40 ปีสำหรับกรุงเทพมหานคร น้ำได้เริ่มท่วมตั้งแต่ต้นเดือน
ตุลาคม น้ำท่วมขังเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน โดยเฉพาะพื้นที่
เขตที่ติดกับ
แม่น้ำเจ้าพระยา เช่น
เขตพระนคร,
เขตบางกอกใหญ่,
เขตคลองสาน,
เขตบางกอกน้อย,
เขตบางพลัด เป็นต้น ส่งผลให้สถานศึกษาต่าง ๆ ต้องเลื่อนการเปิดภาคเรียนออกไป ซึ่งน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูง โดยวัดที่
สะพานพระพุทธยอดฟ้า เมื่อวันที่
27 ตุลาคม มีค่าระดับสูงถึง 2.27 เมตร (รทก.) มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
[1]พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระราชดำริการแก้ไขปัญหาต่อนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่
10 ตุลาคม โดยเฉพาะการเร่งระบายน้ำออกทะเลได้มากขึ้น, การจัดหาเครื่องสูบน้ำให้เพียงพอ, การขุดลอกคลองที่ตื้นเขินให้ระบายน้ำได้เร็วขึ้น เป็นต้น และก่อให้เกิด
โครงการแก้มลิง ขึ้นมาตามพระราชดำริเหตุการณ์ค่อย ๆ คลี่คลายเมื่อน้ำได้ลดระดับลงในเดือน
พฤศจิกายน รวมระยะเวลากว่า 3 เดือน
[2] [3]